รีวิวการเตรียมตัวสอบ SAT ได้ 1500 ฉบับอ่านเอง ไม่เรียนพิเศษ

avatar

iammarkps

(over 3 years ago)

ก่อนจะเริ่มอธิบายต้องเท้าความก่อนว่า ตอนแรกผมอยากจะเข้า ISE เลยไปสอบ SAT ธรรมดาไว้ก่อนรอบแรก ค่อยเก็บ Subject Test รอบนั้นได้คะแนน 1250 (Math 720, Verbal 530) สอบรอบ October 2019

คะแนน SAT October 2019

รอบนั้นผิด Reading ไป 17 ข้อ Writing ไป 25 ข้อ Math ไป 5 ข้อ หลังจากสอบรอบนั้นเสร็จก็ไม่ได้สนใจอะไรต่อเพราะเปลี่ยนใจจะไปสอบวิศวะภาคไทยแทน พอมาปี 2020 ช่วงกลางเทอมม.6 ก็เปลี่ยนใจอีกรอบ ว่าอยากเข้า BBA CU แทน พอคุยกับที่บ้านโอเคก็เลยเริ่มเตรียมตัวสอบ พอมาสอบรอบ September 2020 ได้ 1500 (Math 790, Verbal 710) ครับ

บล็อกนี้จะแบ่งเป็นห้าส่วนทั้งหมดนะครับ โดยเริ่มจากการแนะนำหนังสือกับเว็บไซต์ที่ใช้ การเตรียมตัวโดยรวม หลังจากนั้นจะเจาะแต่ละ part ของข้อสอบ SAT ว่าควรทำยังไงบ้าง

แนะนำหนังสือและเว็บไซต์ที่ใช้

  1. The Ultimate Guide to SAT® Grammar by The Critical Reader—เล่มนี้ถือว่าเป็น must have ของทุกคนที่เตรียมตัวสอบ SAT เลย มีเนื้อหาสำหรับการเตรียมตัวสอบใน Part Writing ที่ครบที่สุดครับ ใช้เล่มนี้เล่มเดียวจบได้เลย
  2. The Critical Reader: The Complete Guide to SAT® Reading by The Critical Reader—เล่มนี้สำหรับคนที่ต้องการอัพคะแนน SAT Reading นะครับ ส่วนตัวผมใช้บทแรก ๆ แต่อ่านไม่จบเล่ม ถึงวันสอบก่อน ถือว่าเป็น Optional สำหรับคนที่ได้ Writing 36+ ละกันครับ
  3. SAT® Vocabulary: A New Approach by The Critical Reader—ผมเป็นคนที่รู้สึกไม่ค่อยโอเคกับการที่ต้องมาท่องศัพท์เยอะ ๆ แบบไม่ค่อยมีเหตุผลเท่าใหร่ครับ เล่มนี้เลยดีมากตรงที่เค้าจะแนะนำเรื่อง Vocab เราว่าส่วนไหนควรที่จะดูบริบท และบางคำที่เจอบ่อยจริง ๆ ถึงค่อยท่องครับ
  4. The SAT Official Practice Test—สำหรับ Official Practice Test แนะนำให้ใช้มันให้คุ้มนะครับ บางอันเค้าเอามาจากข้อสอบจริงเลย ปริ้นมันออกมาแล้วฝนจริง ๆ จับเวลาจริง ๆ พยายามอย่าทำในไอแพดครับ หลังจากรีวิวเนื้อหาอะไรครบแล้วค่อยเริ่มใช้มันจะได้ไม่เสียของ (อย่าลืมใช้ 1 ครั้งก่อนเริ่มอ่านเนื้อหานะครับ จะได้รู้ว่าเราอ่อนตรงไหนที่สุด)
  5. Khan Academy—สำหรับ Khan Academy ผมใช้ทำโจทย์ Reading กับ Writing ให้ทำส่วนที่เป็นโจทย์รวมกันเหมือนโจทย์จริงนะครับ แบบแยกเรื่องใน Khan ไม่ค่อยเวิร์ค
  6. SAT Math: Advanced Guide and Workbook by The College Panda—เล่มนี้ผมใช้ทวนเนื้อหา SAT Math ในบทที่ตัวเองยังไม่ค่อยเข้าใจในตอนม.ต้น สำหรับคนที่พื้นฐานเลขไม่แน่นมาก แนะนำให้เริ่มจากเล่มนี้ก่อนเลยครับ
  7. 10 Practice Tests for the SAT Math by The College Panda—ส่วนตัวผมใช้เล่มนี้เล่มเดียวในการฝึกโจทย์ SAT Math ครับ เวลาทำเสร็จ ตรงไหนที่เราพลาดหรือไม่เข้าใจเนื้อหาส่วนนั้น ก็กลับไปเปิดทวนในเล่มในข้อ 6

แถม ข้อสอบจริงจาก SAT QAS

การเตรียมตัว

ต้องบอกตามตรงว่า ผมเป็นคนที่ค่อนข้างจะขี้เกียจครับ (อ่านหนังสือวันละประมาณ 2 ชั่วโมง) เวลาจะอ่านหนังสือหรือทำอะไรผมจะวางแผนก่อนให้ตัวเองใช้เวลาน้อยที่สุด แผนการเตรียมตัว SAT ที่ผมแนะนำคือให้เริ่มจากการทำ practice test ก่อนครับ พอตรวจเรียบร้อยให้เราดูว่าตรงไหนที่เราพลาดเยอะที่สุด ตรงไหนที่เราคิดว่าเราเก่งที่สุด แล้วเราก็ต้องตั้งเป้าคะแนนไว้ครับจะได้มีกำลังใจในการอ่านและทำ practice test พอเรารู้แล้วเราสามารถวางแผนคร่าว ๆ ได้ครับ

การฝึก SAT ที่ดีไม่ใช่การทำโจทย์เยอะ ๆ แต่เป็นการที่เราทำโจทย์ให้คุ้ม สมมติเราทำโจทย์ไปเรื่อย ๆ ผิดก็ปล่อยไป แบบนี้ถือว่าใช้โจทย์ไม่คุ้มครับ เราต้องรู้ว่าเราทำผิดตรงไหน เราคิดไม่เหมือนกับคนออกข้อสอบยังไง สำคัญมาก ข้อสอบ SAT ใช้ใจตอบไม่ได้นะครับ ทุกข้อมันมีเหตุผลเสมอว่าทำไมตัวเลือกนั้นถึงถูก ทำไมตัวเลือกอื่นถึงผิด

อีกอย่างก็คือวิธีของคนอื่นไม่ได้ใช้ได้สำหรับเราเสมอไปนะครับ (โดยเฉพาะ Reading) บางคนอาจจะแนะนำให้เราทำอย่างนี้ แต่ว่าเราควรจะหาวิธีที่ตัวเองถนัดที่สุด ลองฝึกกับ practice เลยครับ

Aut viam inveniam aut faciam—I shall either find a way or make one.

Reading (52 questions, 65 minutes)

Reading Score

Reading เป็นพาร์ทที่คนส่วนใหญ่บอกว่ายากที่สุดครับ ก่อนที่เราจะทำ part นี้ได้ เราต้องรู้ตัวเองก่อนครับว่าเรา "ทำได้แต่ทำไม่ทัน" หรือ "ทำไม่ได้เลยทำไม่ทัน" จะได้หาจุดที่ตัวเองต้องแก้ไข

ในพาร์ทนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการอ่านแบบวิเคราะห์ครับ ว่าผู้เขียนต้องการอะไร และคนออกข้อสอบต้องการอะไร เวลาอ่านให้เราจับใจความให้ได้ด้วยว่าใจความหลักของ passage มันคืออะไร และบริบทของมันคืออะไร (สำคัญกับ History) แต่ก่อนที่เราจะอ่าน passage SAT เข้าใจได้ดี เราต้องพยายามอ่านอังกฤษเยอะ ๆ ก่อนครับ ถึงแม้มันจะไม่ได้ช่วยให้เราตอบคำถาม SAT ได้ แต่ว่ามันจะทำให้เราชินและสามารถอ่านได้ดีขึ้นครับ

การบริหารเวลาในพาร์ทนี้ถือว่าสำคัญมากครับ เรามีเวลาต่อ passage แค่ passage ละ 13 นาที (รวมฝนคำตอบ) เพราะฉะนั้นเวลาอยู่ในห้องสอบเราต้องคอยสังเกตุเวลาดี ๆ ครับ โดยเฉลี่ยแล้วควรอ่าน passage ให้จบในเวลาประมาณ 5-6 นาที อ่านแบบดูจุดสำคัญ ๆ เช่นพวกคำเชื่อม อะไรที่มันขัดแย้งกัน ข้อมูลทุกอย่างที่อยู่ใน passage ไม่ได้สำคัญทุกตัวอักษร

การทำ SAT Reading คือการหาช็อยส์ที่ผิด 3 ข้อครับ ไม่ใช่ถูก 1 ข้อ ข้อที่ดูถูกในความเป็นจริง แต่ใน passage ไม่ได้พูด ก็ถือว่ามันผิดนะครับ แต่ถ้ามันผิดจากความเป็นจริงเลย เช่น พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก มาแบบนี้ 95% ผิดแน่นอนครับ

หลักการการอ่าน passage เราไม่จำเป็นที่ต้องแปลออกหมดทุกคำที่เค้าบอกครับ หลักการคือเราต้องอ่านให้เข้าใจโดยที่บางคำแปลไม่ออกก็ไม่เป็นไรครับ ยกเว้น คำ keyword พวกนี้สำคัญมาก ๆ อันนี้ต้องแปลออกจริง ๆ ไม่งั้นแย่ครับ

โจทย์ประเภทกราฟ / Infographic พวกนี้จริง ๆ ไม่ได้ยากขนาดนั้นครับ ต้องอ่านดี ๆ ว่าเค้าให้อ่านอะไรจากกราฟ บางทีต้องเอาไปตีความใน passage ต่อนิดนึง แต่โดยรวมแล้วถือว่ากลาง ๆ ครับ

พวกโจทย์ประเภท Line Reference แนะนำให้อ่านบรรทัดที่มันบอกก่อนครับ ค่อยตอบข้อที่เป็นคำถาม ถ้าตอบคำถามก่อน บางทีผิดทั้งคู่เลย เสียสองคะแนนฟรี ๆ ครับ ส่วนเหตุผลที่เราต้องอ่าน Line ที่เค้าบอกก่อนไปตอบคำถาม เพราะคนเรามีสิ่งที่เรียกว่า confirmation bias ซึ่งสมมติเราเลือกคำตอบนั้นไปแล้ว (อาจจะถูกหรือผิด) เวลาเราเลือก Line ในข้อต่อไปเราจะพยายามหาเหตุที่ผิดมา support ข้อนั้นได้ ทำให้เสียคะแนนเหมือนกัน

ถ้าเรายังใช้วิธีแบบเดิมอยู่ อ่านแบบเดิม หรือคิดโจทย์ข้อนั้นแบบเดิม คะแนนเราก็จะอยู่ประมาณเดิมครับ ไม่ว่าเราทำโจทย์เยอะขนาดไหน เราต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ ลองวิธีใหม่ ๆ

Reading Resources ที่ผมใช้ประจำจะแปะไว้ด้านล่างนะครับ

Writing (44 questions, 35 minutes)

Writing Score

พาร์ทนี้ถือว่าเป็นพาร์ทเก็บคะแนนของทุกคนเลยครับ ถ้าเราแม่นแกรมม่าและกฎต่าง ๆ ของ SAT ที่เค้าทดสอบเรา พวกกฎต่าง ๆ นี่ถ้าพิมพ์ในนี้คงไม่หมดครับ แนะนำให้อ่าน The Ultimate Guide to SAT® Grammar ของ Erica L. Meltzer เลยครับ ช่วยได้มากจริง ๆ สำหรับ part นี้

เทคนิคเล็กน้อยสำหรับ part นี้ครับ เราต้องรู้ว่าโจทย์จะถามอะไรเราครับ แนะนำว่าให้ดูจากตัวเลือกเลย แล้วเราก็ใช้วิธีตัดตัวเลือกที่ไม่จำเป็นออกไปก่อนครับ เช่น . ; ,+FANBOYS มันเหมือนกัน คำตอบ SAT มีข้อเดียวเสมอครับ ถ้ามันเหมือนกัน ตัดทิ้งไปก่อนได้เลย โจทย์แนว Add/Delete พวกนี้ค่อย ๆ ทำเป็นขั้นตอนครับ ดูก่อนว่าควรไหม ถ้าควร/ไม่ควร ค่อยหาเหตุผลมา support ประโยคมันต้อง flow จากประโยคก่อนหน้าด้วย

สำหรับ Part นี้เล็งไว้ที่ 36+ ชีวิตจะสบายครับ ไม่มีอะไรแนะนำเยอะสำหรับพาร์ทนี้นอกจากใช้หนังสือ Erica ครับ ค่อนข้างตรงไปตรงมา

Math (No calculator—20 questions, 25 minutes; Calculator—38 questions, 55 minutes)

Math Score

พาร์ท Math เป็น part ที่เด็กไทยค่อนข้างถนัดมากกว่า Verbal เนื่องจากมันเป็นเนื้อหาม.ต้น ออกไม่ได้ยากเท่าโรงเรียนอยู่แล้ว สำหรับเทคนิคพาร์ทนี้ไม่มีอะไรมากครับ ห้ามประมาท ส่วนใหญ่ที่ผิดกันไม่ใช่เพราะทำไม่ได้ ส่วนใหญ่เป็นเพราะว่าประมาทมากกว่า

ลองหาโจทย์มาฝึกทำเยอะ ๆ ครับ แต่ถ้าพื้นฐานยังไม่แน่นแนะนำให้ปูพื้นฐานให้แน่นแบบ 100% ก่อน จะได้ไม่เสียโจทย์ฟรี ๆ แล้วก็จับเวลาตอนทำด้วยครับ เวลาทำอ่านโจทย์ดี ๆ ว่าเค้าถามอะไร ใช้เรื่องไหนทำ อ่านให้ครบทุกบรรทัดของโจทย์นะครับ บางทีคำถามมันอาจจะไม่ได้อยู่ในบรรทัดสุดท้ายเสมอไป

สำหรับเทคนิคการทำ part นี้มีไม่มากครับ ข้อไหนเวลาเจอแล้ววิธีคิดที่เร็วไม่ได้พุ่งขึ้นมาในหัวเราเลย ให้ข้ามไปทำข้อต่อไปก่อน (อย่าลืมกลับมาทำ) การใช้เครื่องคิดเลขก็ใช้เท่าที่จำเป็นครับ บางข้อคิดเองเร็วกว่า ก็อย่าเสียเวลาไปกดเครื่องคิดเลขนานครับ พยายามใช้เครื่องคิดเลขให้ชินก่อนเข้าห้องสอบ เครื่องธรรมดา ๆ ก็พอใช้สอบครับ ไม่จำเป็นต้องเป็นเครื่องกราฟ

Conclusion

สุดท้ายแล้วก็พยายามหาวิธีที่ตัวเองชอบที่สุดครับ วิธีของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน วิธีที่ผมใช้แล้วว่าเวิร์คอาจจะใช้ได้ไม่ดีสำหรับอีกคนก็ได้ ที่สำคัญคืออย่าพึ่งท้อ แต่ละคนอาจจะถนัดคนละอย่างครับ ตั้งเป้าหมายไว้ทุกคนสามารถทำได้ครับ :)

ใครมีข้อสงสัยอะไรสามารถทักมาถามได้ตลอดนะครับ บางทีในนี้อาจจะเขียนได้ไม่ดีมาก

Instagram: @iammarkps

Facebook: Possawat Mark Suksai

สำหรับใครที่มีข้อสงสัยอะไรเกี่ยวกับการสอบอินเตอร์แนะนำให้เข้ากลุ่ม รวมพลคนสอบอินเตอร์ by Learning Cafe เลยครับ แนะนำดีมาก ๆ

Annex A (Reading Resources)